วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2556

10 วิธี ลดน้ำหนัก และเผาผลาญไขมันอย่างรวดเร็ว

1. พยายามสร้างมวลกล้ามเนื้อ
ดังเช่นที่กล่าวไว้แล้วเมื่อตอนต้น ว่าระบบการเผาผลาญจะทำงานช้าลงเมื่อเราอายุมากขึ้น ประมาณว่ามันจะทำงานช้าลงปีละ เปอร์เซ็นต์ แต่ก็มีบางสิ่งที่คุณทำได้เพื่อต่อสู้กับธรรมชาติ ชารี ลีเบอร์แมน ผู้เขียนหนังสือชื่อ Dare to Lose ให้ความเห็นว่ากล้ามเนื้อนี่แหละคือตัวบ่งชี้ที่ดีที่สุดถึงระบบเผาผลาญ พลังงานจากอาหารที่คุณกินเข้าไป ชี้ให้เห็นด้วยว่าคุณเผาแคลอรี่และเผาไขมันไปได้มากน้อยแค่ไหน” เธอยังแนะนำด้วยว่าถ้าคุณต้องการจะเร่งกระบวนการเผาผลาญให้ทำงานดีขึ้น อย่างน้อยก็ควรจะยกดัมบ์เบลหรือดึงแถบยางต้านแรงอย่างน้อยสัปดาห์ละสองครั้ง เพียงเท่านี้มันก็ช่วยได้มากเลยในการเร่งกระบวนการเผาผลาญ และข่าวดีก็คือระบบเผาผลาญของคุณที่ดีขึ้นนี้ จะยังคงทำงานหนักไปได้อีกหลายชั่วโมงทีเดียว ภายหลังจากออกกำลังมาแล้ว
2. เคลื่อนไหวอยู่เสมอ
ถ้าบอกว่าต้องเคลื่อนไหวอยู่เสมอ ใครๆก็รู้ แต่ก็ต้องย้ำกันไว้สักหน่อยล่ะว่าคุณควรจะเคลื่อนไหวแบบไม่ธรรมดา ด้วยการหาเวลาให้ได้สัก 30 นาทีหรือ ชั่วโมง เพื่อมาเดินเร็วๆ, วิ่งจ็อกกิง, ปั่นจักรยาน, ว่ายน้ำหรือออกกำลังกายแบบ แอโรบิกบางอย่าง ให้ได้ความถี่อาทิตย์ละ ถึง ครั้ง เรื่องนี้ลีเบอร์แมนคนเดิมบอกว่าใครๆต่างก็ไม่ชอบทำแบบนี้ทั้งนั้นแหละ แต่มันก็จำเป็นต้องทำค่ะ
3. กินเป็นปกติ อย่าได้อดอาหารเป็นอันขาด
ลดน้ำหนักได้แต่อย่าอดอาหาร ฟังดูอาจจะเพี้ยนๆหน่อยสำหรับใครก็ตามที่พยายามลดน้ำหนักด้วยการกินให้น้อยๆ เข้าไว้ แต่ความคิดแบบเก่าๆนี้กลับเป็นปัญหา ตรงที่ว่ามันกลับไปทำให้กระบวนการเผาผลาญทำงานได้ช้าลง ตามคำอธิบายของจูลี เบเยอร์ นักโภชนาการจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนซึ่งกล่าวว่าทุกๆเซลในร่างกายเราก็ไม่ ต่างอะไรจากหลอดไฟ เมื่อเรากินอาหารไม่เพียงพอ หรือเปรียบกับได้รับเชื้อเพลิงน้อย เซลหรือไส้หลอดก็จะไม่เผาไหม้สว่างไสว ผลการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์เมื่อไม่นานมานี้แสดงให้เห็นว่า การรับประทานอาหารมื้อเล็กๆห่างกัน สามถึงสี่ชั่วโมงต่อมื้อ ก็จะช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ดี และช่วยให้น้ำหนักลดลงได้ด้วย
4. ละเว้นน้ำตาล
แน่ล่ะ แม้จะไม่มีน้ำตาล คุณก็ยังเลือกกินอาหารอร่อยๆได้ “เพราะเมื่อใดที่คุณกินน้ำตาลเข้าไป นั่นคือระบบการเผาผลาญจะถูกเปลี่ยนไปเป็นระบบเก็บกักไขมันอย่างรวดเร็ว” ตามที่ลีเบอร์แมนพูด ในเมื่อเธอเป็นตัวตั้งตัวตีในเรื่องการบริโภคอาหารน้ำตาลต่ำ ด้วยหลักความคิดว่าอาหารที่เรารับประทานเข้าไปตามปกตินี้ แม้ไม่มีน้ำตาล มันก็แตกตัวออกเพื่อช่วยรักษาระดับนำตาลในเลือดอยู่แล้ว
5. ไม่อดอาหารเช้า
เป็นความจริงที่ไม่ค่อยจะมีใครคำนึงถึงเท่าไหร่เลยว่า คนที่กินอาหารเช้าที่ถูกสุขลักษณะเป็นประจำมักจะสะโอดสะองกว่าพวกที่ไม่กิน ลองคิดแบบนอกกะลากันดูหน่อยเป็นไร ถ้าหากคุณจะกินอาหารเช้าที่เป็นสลัดผักหรือว่าข้าวซ้อมมือ อาหารแบบนี้แหละที่จะช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญได้ดีนัก ทั้งยังมีเส้นใยอาหารมากกว่าอาหารประเภทอื่นด้วย
6. กินเผ็ดเข้าไว้
คงไม่ต้องถึงกับควันออกหู แต่ถ้าคุณชอบอาหารไทยอยู่แล้วก็ย่อมถือว่าเดินมาถูกทาง แม้แต่ลีเบอร์แมนเองก็ยังพูดเลยว่าอาหารเผ็ดๆนี่แหละ ช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญดีนัก” ไม่เชื่อก็ลองสังเกตดูเถอะว่าใครบ้างในวงข้าวของคุณ ที่กินเผ็ดแล้วเหงื่อแตกพลั่กๆ นั่นแหละกระบวนการเผาผลาญของเขากำลังทำงานอย่างหนักอยู่
7. ดื่มชาเขียว
มิแชลล์ สเตรฟ ผู้ฝึกซ้อมกีฬาจากเนบราสกาให้ความเห็นว่ามีวิธีค่อนข้างทำลายสุขภาพตั้ง หลายอย่างที่จะช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญ อย่างการดื่มกาแฟแก่ๆสักแก้ว หรือการรับนิโคตินเข้าร่างกาย แต่ดิฉันไม่ได้บอกว่าคุณต้องสูบบุหรี่นะ” แต่ลีเบอร์แมนเองก็ให้คำแนะนำที่น่าสนใจในเรื่องนี้เช่นกันว่า แทนที่จะดื่มเครื่องดื่มผสมคาเฟอีนมากๆแล้วต้องพบกับผลข้างเคียงค่อนข้าง อันตราย ก็น่าจะใช้ชาเขียวร้อนแทน ซึ่งชาเขียวที่ว่านี้จะกระตุ้นระบบเผาผลาญได้นานกว่าและมีประสิทธิภาพ มากกว่ากาแฟเสียอีก
8. อย่าลืมดื่มน้ำ
อย่าได้ละเลยการดื่มน้ำเป็นอันขาด การดื่มน้ำอยู่เป็นประจำนี้สำคัญมากกับการขับของเสียออกจากร่างกายในระหว่าง การเผาผลาญไขมัน แม้น้ำเย็นก็ยังช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญได้เล็กน้อย เนื่องจากร่างกายจะใช้ความร้อนมาเพื่อทำให้อบอุ่นขึ้น แล้วมันจะมาจากไหนล่ะถ้าไม่ใช่ระบบการเผาผลาญแล้วได้ความร้อนเป็นผลพลอยได้
9. หลีกเลี่ยงความเครียด
จงอยู่ให้ห่างความเครียดให้มากที่สุด ตามที่ลีเบอร์แมนพูดคือเพราะความเครียดสามารถเพิ่มน้ำหนักให้คุณได้ โดยเฉพาะไขมันตรงหน้าท้อง” ทำไมคุณลีเบอร์แมนถึงพูดเช่นนั้น ก็เพราะทั้งความเครียดทางกายและจิตใจมันจะไปกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารคอร์ ติโซลออกมาน่ะสิ และเพราะเจ้าคอร์ติโซลนี่มันมีอำนาจชลอกระบวนการเผาผลาญให้ช้าลงด้วย เราจึงควรทำทุกอย่างเพื่อให้ไม่เครียดหรือเครียดน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
10. นอนหลับมาก ๆ
นักวิทยาศาสตร์ได้ทำวิจัยมาแล้วหลายครั้งในหมู่ผู้นอนหลับ พบว่าใครก็ตามที่นอนน้อยกว่าวันละเจ็ดหรือแปดชั่วโมงจะมีโอกาสน้ำหนักขึ้น ได้มาก ยิ่งกว่านั้นเราก็รู้ด้วยว่ากล้ามเนื้อจะถูกเสริมสร้างขึ้นมาใหม่ด้วยในช่วง ชั่วโมงท้ายของการนอนก่อนจะตื่น ตามคำกล่าวอ้างของเบเยอร์ ถ้าจะทำตามข้อแนะนำข้อที่ ไปพร้อมๆกับข้อนี้ด้วย ก็จะช่วยได้มากในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ
ทั้งหมดนี้เราได้มาจากข้อความ ของคุณซูแซน วูดเวอร์ด ซึ่งปัจจุบันเธออาศัยอยู่ในเมืองโอลิมเปีย รัฐวอชิงตัน เป็นคอลัมนิสต์เกี่ยวกับสุขภาพและวัฒนธรรมในนิตยสารหลายเล่ม รวมทั้งอเมซอน โพรมิส องค์กรเพื่อสุขภาพไม่หวังผลกำไร และมีบทความลงในนิตยสารลอส แอนเจลิส ไทม์สด้วย
ไหนๆเมื่อพูดถึงวิธีเร่งกระบวนการเผาผลาญแล้ว ก็น่าจะมาว่ากันต่อเสียเลยกับเรื่องที่เกี่ยวข้องกัน คือเรื่องของความเชื่อและความจริง 10 ประการ เกี่ยวกับการลดน้ำหนักตัว

การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ Cardio คืออะไร

การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ Cardio เป็นการออกกำลังกายเพื่อลดไขมันส่วนเกินอย่างได้ผล การที่ร่างกายจะดึงไขมันมาเผาผลาญจำเป็นต้องใช้ออกซิเจนช่วยในการเผาผลาญ เวลาเหายใจเข้าหัวใจก็มีหน้าที่สูบฉีดและส่งเลือดที่เป็นตัวนำออกซิเจนไปสู่เซลล์ต่างๆ ในร่างกายเพื่อเผาผลาญไขมัน
คาร์ดิโอ Cardio คำนวณได้โดยใช้สูตร 220 - อายุ (ปี) = อัตราการเต้นหัวใจ (Heart Rate) ต่อนาทีสูงสุดที่ร่างกายรับได้
1. Low Intensity -คาร์ดิโอแบบความเข้มข้มต่ำ โดย Target Heart Rate (THR) อยู่ ที่ 55% - 65% ตลอดระยะเวลาการออกกำลังกาย
2. Medium Intensity - คาร์ดิโอแบบความเข้มข้นปานกลาง โดย THR อยู่ที่ 65% - 75% ตลอดระยะเวลาของการออกกำลังกาย
3. High Intensity - คาร์ดิโอแบบความเข้มข้นสูง โดย THR อยู่ที่ 75% - 85% ตลอดระยะเวลาการออก กำลังกาย
4. Extra High Intensity – คาร์ดิโอแบบความเข้มข้นสูงที่ใช้เทคนิคการฝึก แบบพิเศษเข้าช่วย THR อยู่เหนือระดับ 85% ขึ้นเป็นช่วงๆ โดยทั่วไปจะให้ THR อยู่ ที่ 90% - 95% หรือมากกว่าจนเฉียด 100% ของ Maximum Heart Rate คาร์ดิโอชนิดพิเศษพวกนี้ทำได้ยากมาก เลยส่งผลให้สามารถทำได้ในระยะเวลาที่สั้นมากๆ คือตั้งแต่แค่ 4 - 15 นาทีเท่านั้น ไม่อย่างนั้นร่างกายจะรับสภาพความรุนแรงไม่ไหว
การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ Cardio เป็นความรู้ที่เกี่ยวโยงกับวิทยาศาสตร์การกีฬา ซึ่งทุกอย่างจะต้องคำนวนและวัดผลได้แม่นยำ เป็นที่นิยมในกลุ่มของนักเพาะกาย ฟิตเนส และผู้ที่ต้องการลดความอ้วน ถือว่าเป็นการวางแผนการลดไขมันส่วนเกินที่ดีทีเดียว

ทำไมต้องเพาะกาย?

การเพาะกายเป็นอีกทางเลือกนึงที่ดีในการออกกำลังกาย ถ้าเราสังเกตุดูดีๆ จะพบว่า เวท เทรนนิ่ง(weight training) เป็นพื้นฐานของกีฬาทุกประเภท

ไม่ว่าจะเป็น ฟุตบอล บาสเก็ตบอล อเมริกันฟุตบอล รักบี้ เทนนิส กอล์ฟ ฯลฯ

          การเพาะกายเป็นอีกทางเลือกนึงที่ดี ถ้าต้องการเพิ่มน้ำนหักตัว หรือ ลดน้ำหนัก หรือ เพื่อลบปมด้อยในอดีต เช่น เมื่อก่อนเป็นคนผอม โดนล้อ 

ปัจจุบันเลยผันตัวมาเพาะกาย คุณสามารถหนักถึง 220 lb หรือมากกว่านั้น แต่มี bodyfat แค่ 3-5 % เท่านั้น เป็นสิ่งมหัศจรรย์สิ่งหนึ่งของร่างกายมนุษย์เลยทีเดียว

          การเพาะกายเป็นอีกทางเลือกนึงที่ดี ถ้าต้องการฝึกความเป็นระเบียบในชีวิต ความอดทน ความเชื่อมั่นในตนเอง ความรักในสิ่งที่สนใจอย่างจริงจัง

          การเพาะกายเป็นอีกทางเลือกที่ดี ในการสร้างความคิดสร้างสรรค์ และ ความคิดนอกกรอบ เพราะในปัจจุบัน ผู้ใหญ่กำลังปลูกฝังเด็กไทยว่า เพาะกายไม่ดี อย่างโน้น

ไม่ดี อย่างนี้ ทำให้เตี้ย ไม่สูง

          ถ้าคุณมองเพาะกายเป็นศิลปะ คุณก็จะรู้ว่ามันเป็นอะไรที่สวยงาม สง่า ลงตัว และน่าเกรงขาม ยิ่งกว่า ภาพวาดโมนาลิซ่า ของ ดาวิชี่ ซะอีก

ความหนาและเต็มของหนอกคอ ความกว้างและหนาของกล้ามอก ความlean ของกล้ามท้อง ความสมบูรณ์ของแขน รายละเอียดของหลัง ความกว้างของไหล่

การแตกของกล้ามต้นขา ความใหญ่ที่ดูมั่นคงของกล้ามน่อง...

          เวลาใส่เสื้อตัวใดก็ยังรู้สึกมั่นใจอย่างบอกไม่ถูก ใส่แล้วดูดี สง่า เท่ห์ มีความมั่นใจในตัวเองสูงขึ้น 

          การเพาะกายยังส่งผลดีต่อสุขภาพ ทั้งในปัจจุบัน และ อนาคต...

          การเพาะกายยังส่งผลดีต่อการเรียนวิชา กายวิภาคศาสตร์ ภาษาอังกฤษ โภชนศาสตร์ ฯลฯ

          การเพาะกายยังส่งผลต่อความรู้สึกลึกๆ ภายในจิตใจอีกด้วย ทั้งมุมมองที่ดี ทั้งทัศนคติที่ดี ทั้งความเป็นผู้ใหญ่ที่สูงขึ้นอีกด้วย...

by arnoldbun

ผลเสียจากการใช้สารสเตียรอยด์


                      ผลข้างเคียงจากการใช้สารสเตียรอยด์ 


อนาบอลิค แอนโดรจีนิค สเตียรอยด์ *(Anabolic-androganic steroids AAS) มีผลกระทบในระดับสูง ต่อ ระบบการทำงานที่สำคัญๆจำนวนมากของร่างกาย เรื่องจริงทางการแพทย์ที่เกี่ยวเนื่องกับปัญหาการใช้สารสเตอร์รอยด์ มีดังนี้ 
เกิดการเปลี่ยน กระบวนการทำงานของตับ ตับจะต้องรับหน้าที่หนักมากหากเรารับเอาสารสารสเตียรอยด์เข้าไปในร่างกาย และหากใช้สารสเตียรอยด์ครั้งละจำนวนมากๆเป็นระยะเวลายาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดยวิธีรับประทานสารนี้เข้าไป มันจะสามารถทำให้เกิดภาวะน้ำดีคั่งค้างในท่อน้ำดี และโรคดีซ่าน ในระดับที่รุนแรง, ภาวะเลือดไหลออกเป็นจำนวนมาก และ แม้กระทั่งมะเร็งตับ ซึ่งเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้ผู้ที่เข้ารับการรักษาต้องเสียชีวิตลง 
เกิดการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานของหัวใจและหลอดเลือดหัวใจ การใช้สารสเตียรอยด์สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงกลไกการแข็งตัวของเลือด, กระบวนการเผาผลาญกลูโคส และยังมีผลต่อระดับไตรกลีเซอไรด์ และระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดอีกด้วย การใช้สารสเตียรอยด์ในรูปแบบการรับประทานสามารถนำไปสู่ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง, 
ระดับกลูโคลสลดต่ำลง และ ความทนทานต่อเบาหวานทั้งในการรับประทานและทางกระแสเลือดลดลง ยังเกี่ยวพันถึงนัยสำคัญเกี่ยวกับภาวะดื้ออินซูลินอีกด้วย กล่าวได้ว่าสารสเตียรอยด์เป็นตัวเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเกี่ยวที่กับหัวใจและหลอดเลือดหัวใจ 
เพิ่มความตึงเครียดในระบบประสาทและหรือความดันโลหิต. ซึ่งสามารถนำไปสู่โรคความดันโลหิตสูง และการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงของสมดุลของสารละลายและของเหลวภายในร่างกาย 
ลดการผลิตฮอร์โมนเพศชาย(Testosterone)ลงจากระดับปกติ ในร่างกายของเรามีกลไกในการเฝ้าดูปริมาณ ฮอร์โมนเพศชายที่มีอยู่ระบบและคอยทำการเตือนให้ระบบต่อมไร้ท่อทำการเพิ่มหรือลดการผลิตฮอร์โมนออกมา แต่เมื่อเราได้รับสเตียรอยด์เข้าไป ร่างกายจะเข้าใจว่าการเพิ่มปริมาณสารนี้เข้ามามีมากเกินความจำเป็น จึงพยายามที่จะทำการลด หรือ ทำการหยุดกระบวนการผลิตฮอร์โมนเพศชายลง ซึ่งสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในความต้องการทางเพศ และ การทำงานของระบบอื่นๆจำนวนมากที่เกี่ยวกับสรีรวิทยาและทางด้านจิตใจที่ทำงานสัมพันธ์กับระดับฮอร์โมน อย่างเช่น ความก้าวร้าวเพิ่มขึ้น, การเพิ่มขึ้นหรือลดลงของปริมาณไขมันภายในร่างกาย 
เกิด Androgenic effect (ผลกระทบจากฮอร์โมนเพศชาย) เช่น ขนดกขึ้นตามหน้าตาและร่างกาย, ผิวมัน, หน้ามัน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิว, ภาวะองคชาตมีการแข็งตัวนานเกินปกติ, ผมบางศีรษะล้าน, ต่อมลูกหมากโต และ การชะงันของปลายกระดูกยาว** (กระดูกหยุดเจริญเติบโต) (มีคำอธิบายด้านล่างของหน้าครับ - ผู้แปล) 
นอกจากที่กล่าวมาข้างต้นยังมีผลกระทบอื่นๆที่พบบ่อยเช่น 
-เป็นตระคิว และกล้ามเนื้อกระตุก 
-การเพิ่มขึ้นหรือลดลงของความก้าวร้าว 
-อาการปวดศีรษะ 
-เลือดกำเดาออก 
-เวียนศีรษะ หน้ามืดเป็นลม เซื่องซึม 
-มีผื่นขึ้นตามผิวหนัง 
-เจ็บหัวนม 
-ภาวะเต้านมโตในเพศชาย 
-ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ 


ข้อมูลจาก tuvayanon