วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2556

5 วิธีทำงานรวมกับคนที่ไม่ชอบหน้า

1. ห้ามปฏิเสธงานที่ได้รับมอบหมายเด็ดขาด 
เพราะการปฏิเสธงานตั้งแต่ได้รับมอบหมาย แสดงให้เห็นว่า
เริ่มต้นคุณก็ไม่เคารพในการตัดสินใจของผู้ที่มอบหมายงานเสียแล้ว เพราะในฐานะผู้ที่มอบหมาย
งานให้ แสดงว่าเขาย่อมมีขอบเขตและอำนาจในการมอบหมายหรือสั่งให้คุณไปทำ
ไม่ว่าจะเป็นในฐานะหัวหน้า หรือวัยวุฒิที่มากกว่า

2. ให้ตัดอคติและความไม่ชอบส่วนตัวออกไป
เมื่อรับงานมาแล้วคำนึงถึงผลของงานที่จะออกเป็นหลัก ให้บอกกับตัวเองเสมอว่า ในโลกใบนี้
ไม่ว่าจะเป็นแวดวงบันเทิง แวดวงกีฬาหรือแวดลงธุรกิจ คนที่มีความเป็นมืออาชีพมากพอ เขา
สามารถทำงานร่วมกับใครก็ได้ เพราะฉะนั้นสามารถสร้างความเป็นมืออาชีพให้กับตัวเองให้ได้
ด้วยการแบ่งความรู้สึก แยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันได้อย่างสิ้นเชิง

3. บอกกับผู้ร่วมงานก่อนลงมือทำงาน (คนที่คุณไม่ชอบขี้หน้านั่นแหละ)ว่า
ถ้าคุณมีความคิดเห็นหรือมีข้อเสนอแนะในงานอย่างไรเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอย่างไร
สามารถพูดได้ทุกเรื่องเพราะผม (หรือดิฉัน)ถือว่าเราสองคนร่วมมือกันทำงานนี้
ก็เพื่อให้ผลงานออกมาดีที่สุดซึ่งนั่นก็หมายถึงศักยภาพของคุณและเขานั่นเอง

4. ใช้วิธีเอาน้ำเย็นเข้าลูบถ้าเกิดปัญหา 
กรณีที่ทำงานด้วยกันแล้วมีข้อผิดพลาดหรือเกิดปัญหา เช่น งานชิ้นนั้นไม่สามารถหาบทสรุปที่ลง
ตัวของทั้งสองฝ่ายได้ ให้ใช้วิธีเอาน้ำเย็นเข้าลูบค่อยคิดและหาเหตุผลท่องไว้ในใจ ห้ามใจร้อน
ผลีผลาม อย่าให้การแสดงความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน เป็นชนวนต้นเหตุให้คุณกับเขาไม่ชอบขี้หน้า
(กันมากขึ้นอีกหนึ่งเรื่อง) อย่าด่วนวีนแตกเป็นอันขาดเพราะนอกจากงานจะไม่สำเร็จ งานนั้นๆ
อาจจะพังตั้งแต่ยังไปไม่ถึงครึ่งทาง

5. ให้มองในแง่ดี
ถ้าไม่ใช่คนที่โกรธแค้นกันมาแต่ชาติปางก่อน การได้มีโอกาสทำงานร่วมกันก็เหมือนกับเป็น
โอกาสที่คุณจะได้ปรับความเข้าใจเพราะการมีเพื่อนย่อมดีกว่าศัตรู คนเราเกิดมามีทั้งคนที่เราชอบ
และคนที่เราไม่ชอบ เพราะฉะนั้น ถ้ามีโอกาสควรปรับความเข้าใจเสีย
ยิ่งถ้าเป็นคนที่อยู่ในองค์กรเดียวกัน ต้องอยู่ด้วยกันทุกวัน วันละ 8ชั่วโมง
ถ้ายังเป็นคนไม่ชอบหน้ากันงานก็ไปไม่รอด…ที่สำคัญคนเป็นนายคงไม่ปลื้มแน่นอน

ที่่่่่มา นิตยสารบันทึกคุณแม่

7 วิธีคิดอย่างคนเก่ง

1. คิดในทางมองโลกในแง่ดี
และทำทุกสิ่งอย่างเต็มกำลังด้วยรอยยิ้มและความเบิกบาน ทำตัวให้สดชื่นมีชีวิตชีวาและกระตือรือร้นอยู่เสมอ พร้อมที่จะเผชิญกับทุกสถานการณ์ จะช่วยให้คุณสามารถจัดการกับทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามา ได้อย่างอยู่มือ

2. มีศรัทธาในตัวเอง 
ถ้าแม้แต่คุณเองยังไม่ศรัทธาและเชื่อมั่นในตัวเอง แล้วจะมีมนุษย์หน้าไหนล่ะ จะเชื่อมั่นในความเก่งของคุณ อยากให้ใครๆ เขาชื่นชอบ และทึ่งในตัวคุณ คุณก็ต้องมั่นใจในตัวคุณก่อน

3. ขอท้าคว้าฝัน 
ไม่มีอะไรที่จะทรงพลังมากเท่ากับความตั้งใจจริงและทุ่มสุดตัว จะเป็นแรงผลักดันที่จะทำให้คุณสานฝันสู่ความจริงได้ 

4. ค้นหาบุคคลต้นแบบ 
ใครก็ได้ที่คุณชื่นชมเพื่อเป็นมาตรฐานที่ดีในการดำเนินรอยตาม ศึกษาแนวคิด วิธีการทำงาน จุดเด่นในตัวเขา แล้วอาจนำมาปรับใช้ให้เข้ากับชีวิตได้บ้าง 

5. เริ่มต้นงานใหม่ทุกวันด้วยรอยยิ้มสดใส 
คนที่มีรอยยิ้มระบายไว้บนใบหน้า เสมือนประตูที่เปิดกว้าง ให้ใคร ๆ อยากเข้ามาคบหาด้วย การเจรจา ติดต่องานก็มักจะลงเอยด้วยความสำเร็จ 

6. เรียนรู้จากความผิดพลาด 
สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง จะเป็นอะไรเชียวถ้าเราจะทำอะไร แล้วจะยังไม่สำเร็จอย่างที่หวังไว้ เพียงแต่ขอให้ทำเต็มที่ และเปิดใจให้กว้าง ยอมรับความจริง หันมาทบทวนดูว่ามีขั้นตอนไหนที่ผิดพลาดไป เพื่อที่จะเริ่มต้นใหม่ให้ดีกว่าเดิม 

7. ทนุถนอมมิตรสัมพันธ์เก่าๆ 
คงไม่มีใครที่จะอยู่อย่างมีความสุขโดยปราศจากเพื่อนหรือมิตรที่รู้ใจหรอกนะ แม้ว่าชีวิตของคุณในแต่ละวันจะวุ่นวายแค่ไหนก็ตาม คุณควรจะมีเวลาให้กับเพื่อนซี้ที่รู้จักมักจี่กันมานานซะบ้าง แวะไปหากัน เมื่อโอกาสอำนวย ชวนกันออกมาทานข้าวในช่วงวันหยุด ส่งการ์ดปีใหม่ หรือร่อนการ์ดวันเกิดไปให้ เผื่อในยามที่คุณเปล่าเปลี่ยวหงอยเหงา เศร้าทุกข์ใจ ก็ยังมีเพื่อนซี้ไว้ พึ่งพาและให้กำลังใจกันได้นะ นอกจากนี้ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ยังสร้างความเบิกบานและคลายทุกข์ แถมยังเป็นยาอายุวัฒนะชั้นดีอีกด้วย

ที่มา : http://guru.sanook.com/pedia/topic/7 วิธีคิดอย่างคนเก่ง/

วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2556

รายงานความคืบหน้าโครงงานครั้งที่ 1 วันที่ 5 สิงหาคม 2556

ชื่อโครงงาน BodyBuilding สมาชิกในกลุ่ม 1.นาย ศิริวัฒน์ อุแสง เลขที่ 2 ชั้น ม.6/2 2.นาย พชร อรัญรัชชพิศาล เลขที่ 3 ชั้น ม.6/2 3.นาย อภินัทธ์ สุปราณี เลขที่ 13 ชั้น ม.6/2 ความคืบหน้า ทางกลุ่มของข้าพเจ้าได้ดำเนินการไปแล้วดังนี้